วันอาทิตย์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2553

กาลมีความสำคัญอย่างไร ทำไมจึงต้องรู้ เพื่ออะไรหรือ

หลังจากที่เรารู้แล้วว่า ประธาน กริยา หรือ กรรม คืออะไรแล้ว เราก็จะต้องรู้วิธีใช้คำเหล่านี้ด้วยจึงจะเป็นประโยชน์ และวิธีใช้คำเหล่านี้ก็สมารถดูได้จาก โครงสร้างของแต่ละ กาล กล่าวคือในแต่ละกาล นั่นเขาจะระบุโครงสร้างรูปประโยคสำเร็จรูปไว้ให้แล้ว หน้าที่ของเราก็เพียงแต่เรียนรู้ว่าจะใช้กาลไหน และเมื่อไรจึงจะเหมาะสม เท่านั้นเอง ต่อไปนี้เป็น โครงสร้าง และ หลักการใช้ของแต่ละกาล (TENSE) ซึ่งจะเรียกชื่อเป็นภาษาอังกฤษ ทั้งหมด ดังนี้.

ต่อไปนี้เป็นสูตรสำเร็จรูปเรื่องกาล

TENSES

กาล ในภาษาอังกฤษ นั้นแบ่งออกเป็น 12 ตามสูตรและโครงสร้าง ดังนี้

Present Tense (ปัจจุบันกาล)

1. Present Simple Tense = Subj. + V (1) s, es

2. Present Continuous Tense = Subj. + is, am, are + V-ing

3. Present Perfect Tense = Subj. + has, have + V(3)

4. Present Perfect Continuous Tense = Subj. + has, have + been + V-ing

Past Tense (อดีตกาล)

1. Past Simple Tense = Subj. + V(2)

2. Past Continuous Tense = Subj. + was, were, + V-ing

3. Past Perfect Tense = Subj. + had + V(3)

4. Past Perfect Continuous Tense = Subj. + had + been + V-ing

Future Tense (อนาคตกาล)

1. Future Simple Tense = Subj. + will, shall + V (1)

2. Future Continuous Tense = Subj. + will, shall + be + V-ing

3. Future Perfect Tense = Subj. + will, shall + have + V(3)

4. Future Perfect Continuous Tense = Subj. + will, shall + have + been + V-in

*หมายเหตุ V (1) คือ กริยาช่องที่ 1 (Infinitive)

V (2) คือ กริยาช่องที่ 2 (Past Simple)

V (3) คือ กริยาช่องที่ 3 (Past Participle) และกริยาช่องที่ 3 นี้ยังแยกออกเป็นประเภทที่เป็นประเภทที่เป็นปกติ และ อปกติ อีกด้วย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น