วันพฤหัสบดีที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2557

The Grammar of Correct Usage.

Was it he you were talking to?  หรือ
Was it him you were talking to?
ประโยคข้างต้น he มิใช่กรรมของบุพบท to คงพอจำกันได้ว่าสรรพนาม to be ไม่ต้องใช้รูปกรรม เพราะถือว่าไม่ใช่กรรมของประโยค เป็นเพียงส่วนขยายของประโยคเท่านั้น ในกรณีนี้ก็มี was เป็นเสมือนตัวกลางยื่นมือทั้งสองข้างออกไปให้ประธานและส่วนขยายจับ เพื่อให้ส่วนทั้งสองติดกัน บุพบท to ท้ายประโยคนั้น ที่จริงสัมพันธ์กับ whom ซึ่งละเอาไว้ เพราะว่าประโยคเต็มจริง ๆ ควรจะเป็น Was it he to whom you were talking? ดังนั้นประโยคที่ถูกต้องคือ
Was it he you were talking to? :
คนที่คุนกำลังพูดด้วยน่ะ เขาใช่ไหมล่ะ
It was she I was thinking about. : หล่อนน่ะแหละ เป็นคนที่ฉันกำลังคิดถึงอยู่

ใช้ a และ an เป็น article นำหน้านามที่นับได้( countable nouns) หรือตำราบางเล่มก็เรียกว่า unit words ก็มี ในกรณีที่มีความหมายว่า สิ่งหนึ่ง อย่างหนึ่ง ตัวหนึ่ง คนหนึ่ง โดยมิได้จำเพาะเจาะจงลงไปว่าเป็นสิ่งไหน อย่างไหน ตัวไหน คนไหน โดยเฉพาะ เป็นต้นว่า เราจะพูดว่า
I want to by house. เช่นนี้ผิด เพราะว่าบ้านเป็นนามที่จัดไว้เป็นพวกนามที่นับได้ ฉะนั้น จึงจำเป็นจะต้องใส่ article นำหน้า house เป็น I want to by a house. ในที่นี้ก็มีความหมายว่า ผมต้องการจะซื้อบ้านสักหลังหนึ่ง ยังไม่ได้บอกแน่นอนลงไปว่าเป็นบ้านหลังไหน แต่สิ่งที่ตั้งการจะซื้อคือบ้านหลังใดหลังหนึ่ง แต่ถ้าพูดว่า I want to by the house. ในกรณีนี้ ผู้พูดกับผู้ฟังควรจะรู้ว่า บ้านที่ต้องการจะซื้อนั้น หลังไหน โดยเฉพาะลงไป เช่นว่า นาย ก. โฆษณาขายบ้านหลังหนึ่ง นาย ข. ไปดูแล้วชอบใจอย่างจะซื้อ ก็พูดได้ว่า I want to buy the house. โดยหมายถึงบ้านหลังที่นาย ก. จะขายเท่านั้น ไม่ใช่บ้านหลังอื่น
เรื่องการใช้ article นี้ เป็นเรื่องที่ยุ่งยากมาก สำหรับเราที่เป็นคนต่างประเทศ ทั้งนี้ก็เพราะภาษาไทยเราไม่ละเอียดละออเหมือนภาษาอังกฤษ เราไม่มี article อย่างของเขา ขออย่างได้ตกใจ ถ้าท่านใช้ article ผิด อ่านหนังสือมาก ๆ พบตัวอย่างมาก ๆ ในที่สุดท่านก็จะใช้ article ถูกต้องเอง
การออกเสียง a โดยปกติแล้วเราไม่ออกเสียงว่า เอ แต่ออกเสียงครึ่ง เออ ครัง เออะ คือปล่อยเสียงให้ออกมาจากลำคอเหมือนเวลาออกเสียง เออ แต่ไม่หนักเท่าเวลาที่พูดว่า เออ และเสียงไม่ยาวเหมือน เออ แต่ทั้งนี้ต้องไม่ให้เกิดเสียงกระตุกในลำคออย่างเวลาออกเสียง เออะ
ส่วน an ก็ออกเสียง เอ็อน สำหรับกรณีที่เราต้องการเน้น article เราอาจออกเสียง a เป็น เอย คือออกเสียง เอ ตามด้วย อี หรือตัว ย และ an ก็ออกเสียง แอน แต่ปรากฎน้อยครั้งมาก
ส่วนใหญ่จะทราบดีว่า เมื่อไหร่จะใช้ a และเมื่อไหร่จะใช้ an แต่เพื่อเป็นการทบทวนอีกครั้ง จะขอกล่าวสั่น ๆ ว่า เมื่อไรก็ตาม ที่คำที่อยู่จาก article ไป ออกเสียงพยางค์แรกเริ่มต้นด้วยเสียงสระ โดยไม่คำนึงถึงว่าคำนั้นจะเป็นคำนาม คำคุณศัพท์ อย่างไรก็ตาม ให้ใช้ article an แต่ถ้าออกเสียงพยางค์แรกเริ่มต้นด้วยเสียงพยัญชนะ ก็ใช้ a ทั้งสองกรณีที่กล่าวมาแล้ว ต้องไม่พะวงว่าคำนั้นเวลาสะกดจะมีพยัญชนะต้นเป็นสระ a, e, i, o, u หรือไม่ก็ตามที เช่นเราใช้ an hour เพราะเราออกเสียงพยางค์แรก เริ่มต้นด้วยเสียงสระ อาวเออะ ทั้งๆ ที่พยัญชนะต้นเป็น h ก็ตาม แต่เราว่า a university ทั้ง ๆ ที่พยัญชนะต้นเป็น u แต่เวลาออกเสียงนั้น เสียงแรกเป็นพยัญชนะ ย คือ ยูนิเวอร์ซิตี้ แต่ก็มีบางคำที่ทำให้เกิดปัญหาถกเถียงกัน เช่นคำว่า hotel บางคนออกเสียง โฮเทล บางคนออกเสียง โอเทล โดยไม่ต้องออกเสียงตัว h เหมือน hour, honor, honest ทั้งนี้ก็ต้องถือเกณฑ์จากคน่วนมากเป็นถูก นั่นคือ โฮเทล แต่ถ้าใครออกเสียงโอเทล จะใช้ an เป็น article ก็ไม่ผิด
การใช้ article a หรือ an ทีมีใช้ดังนี้
ก.ใช้นำหน้านามที่นับได้เมื่อมีความหมายว่า หนึ่ง แต่เมื่อใช้ในภาษาไทย ไม่จำเป็นต้องแปลว่า หนึ่งเสมอไป และเมื่อใช้เป็นพหูพจน์ จะไม่มี
article เช่น
A nice girl does not swear. : เด็กที่น่ารักไม่ด่า
John is a good friend of mine. : จอห์นเป็นเพื่อนที่ดีของผม
ข.ใช้กับนามเอกพจน์ที่แสดงถึงอาชีพ และกับนามที่ตามหลังกริยา to be เช่น
My father is a lawyer. : พ่อของผมเป็นทนายความ
He is a student. : เขาเป็นนักเรียน
ค.ใช้เกี่ยวกับเวลา และการชั่งตวงวัด
Rome was not built in a day. :กรุงโรมไม่ได้สร้างขึ้นได้ในวันเดียว
Daranee makes 30 baht an hour. : ดารณีทำงานได้ชั่วโมงละ 30 บาท
Gasoline used to sell for 2 baht a liter. : น้ำมันเบนซินเคยขายลิตรละ 2 บาท หรือใช้เป็น
Gasoline used to sell for 2 baht per liter. โดยไม่มี article ก็ได้
ง.ใช้ในความหมายรวมทั่ว ๆ ไป ในความหมายว่า ตัวหนึ่ง สิ่งหนึ่ง เป็นตัวแทนของทั้งหมด เช่น
A cat is not so vigilant as a dog. : แมวไม่ระวังเหมือนหมา
จ.ใช้นำหน้านามที่ตามหลังกริยา แต่นามนั้นไม่ใช้กรรมของกริยาดังกล่าว เช่น
He became a bachelor. : เขากลายเป็นคนโสด
He died a bachelor. : เขาตายทั้ง ๆ ที่เป็นโสด
ฉ.ใช้กับวลีบางวลีโดยเฉพาะ เช่น
It is a pity you can not come with us. : เสียดายที่คุณไม่กับเราไม่ได้
I am in a hurry to get to my class. : ผมกำลังรีบไปให้ทันเข้าเรียน
It’s a shame that he said it. : มันน่าละอายที่เขาเป็นคนพูดเช่นนั้น
She takes an interest in his work. : เธอให้ความสนใจในงานของเขา
ช. ไม่ใช้ a นำหน้า part of ในความหมายว่า ส่วนหนึ่งของ แต่ใช้ a นำหน้า large (small, minor,) part และใช้ the นำหน้า greater หรือ larger และ greatest หรือ largest เช่น
Part of the book is torn. :
ส่วนหนึ่งของหนังสือถูกฉีกขาดไป
I Forgot a small part of my lecture. : ผมลืมคำบรรยายไปเสียส่วนหนึ่ง
Ubol’s father gave her the largest part of his wealth. : พ่อของอุบลให้ทรัพย์สมบัติส่วนที่มากที่สุดแก่เธอ
ซ.ใช้นำหน้า little และ few ให้ความหมายในทางลบ ถ้าไม่มี a ให้ความหมายทางบวก เช่น
There are a few mistakes in his papers. : รายงานของเขามีผิดหลายแห่ง
There are few mistakes in his papers. : รายงานของเขามีผิดสองสามแห่ง


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น